น้องชมพู่-วันที่ 8 ก.ค. ที่ผ่านมา มีรายงานว่า ผู้สื่อข่าวได้ไปคุยกับพ่อแม่ของน้องชมพู่ หลังพบว่าพ่อแม่เดินทางมาทำธุระที่ กทม. โดยแม่น้องชมพู่ยืนยันว่า ที่ออกมาพูดไม่ได้กล่าวหาว่าลุงพลเป็นคนทำ แต่สงสัยช่วงเวลาที่หายไปของลุงพล ที่ออกมาบอกกับสื่อหลายสำนัก โดยเฉพาะที่พูดว่า รู้ข่าวน้องชมพู่หายมาจากสะดิ้ง พี่สาวน้องชมพู่มาบอก ซึ่งความเป็นจริงไม่ใช่แบบนั้น ตนไม่ได้อยากสร้างประเด็นความขัดแย้ง แต่สงสัยและอยากให้เคลียร์
ลุงพลเองก็เป็นญาติ จึงอยากให้คลายข้อสงสัยส่วนนี้
ส่วนบุคคลอื่นในหมู่บ้านก็ให้ตำรวจดำเนินการ แต่ตอนนี้ทุกคนมีเหตุผล หลักฐานและระบุตัวตนชัดเจนแล้ว ที่ผ่านมาแม่และพ่อพยายามเก็บความรู้สึก ความสงสัยมาตลอด ตั้งแต่เริ่มน้อยใจ ที่หลังจากงานศพ ลุงพลและป้าแต๋นภรรยา ไม่มาที่บ้าน พอดูข่าวก็เกิดความสงสัย จนอึดอัดและเกิดคำถาม หากลุงพลชี้แจงรายละเอียดชัดๆ ก็จบ
แม่กับพ่อเองก็ไม่รู้ว่าถ้าลุงพลทำน้องจริง จะทำไปเพื่ออะไร ที่ผ่านมาสังเกตพฤติกรรมของลุงพลที่ดูรักน้องชมพู่มาก มากเกินจนรู้สึกว่าไม่ค่อยดี จึงพยายามถอยลูกห่างออกมา และยังสงสัยกับประโยคที่ลุงพลมักพูดเสมอมา ว่าหากไม่มีปัญญาเลี้ยงจะเอาน้องชมพู่มาเลี้ยงเอง เกิดจากอะไร ส่วนคดี แม่เชื่อว่าตำรวจทำงานอย่างเต็มที่ และน่าจะมีความชัดเจนเรื่องคนร้ายในเร็วนี้ แต่สิ่งที่แม่และพ่ออยากรับรู้คือ เรื่องผลการตรวจชันสูตรศพน้องชมพู่ แบบสมบูรณ์ออกหรือยัง เพราะจะช่วยคลี่คลายคดีได้
ทางด้านพ่อน้องชมพู่ ก็ได้ชี้แจงหลังจากที่มีชาวเน็ตขุดภาพว่าเป็นชายเสื้อส้ม ขับรถไถ ซึ่งตรงกับข้อมูลพยานอ้างว่าเห็นชายเสื้อส้มในช่วงที่น้องชมพู่หายตัวไป พ่อยืนยันว่ามีเสื้อสีส้มจริง แต่เป็นเสื้อตัวโปรด นานๆ จะใส่ เป็นชุดกีฬา ส่วนเสื้อที่เห็นใส่ขับรถไถ นานมากแล้วและทิ้งไปแล้ว ภาพที่เห็นเป็นภาพในอดีตตั้งแต่สมัยชมพู่ยังเล็ก ไม่แปลกใจและไม่โกรธชาวเน็ตที่ออกมาด่า และขุดภาพในอดีตมาวิจารณ์ แต่ขอให้รอตำรวจจะชัดเจนที่สุด
ส่วนลุงพล เปิดเผยว่า การสงสัยเวลาที่ลุงพลหายไป 38 นาที หายไปไหน ตนก็ชี้แจงเวลาไปหมดแล้ว มีพยานยืนยันชัดเจน ว่าตนไปทำอะไรในช่วงเวลานั้น และบอกตำรวจไปหมดแล้ว ส่วนที่แม่น้องชมพู่บอกว่า ตนรักหลานมากเกินไป ก็เสียใจที่แม่น้องชมพู่คิดแบบนี้ ที่รักหลานก็เพราะหลานรักตน การที่หลานจะรักลุงก็ไม่ใช่เรื่องผิด การที่แม่ชมพู่พูดแบบนี้ เป็นการดูถูก ที่ผ่านมาพ่อกับแม่ดูแลน้องชมพู่ได้ดีแค่ไหน อยากย้อนถามว่า ถ้าลุงสงสัยไทม์ไลน์ของพ่อน้องชมพู่บ้าง จะออกมาชี้แจงหรือไม่ วันนี้ใครมีพิรุธ ใครน่าสงสัย สังคมรู้ดีว่าเป็นใคร และพร้อมท้า 100% จะให้เข้าเครื่องจับเท็จก็พร้อม หรือจะไปสาบานก็พร้อมทุกอย่าง
จับตา! คดีน้องชมพู่ ตำรวจเตรียมแถลงข่าวศุกร์นี้
จากกรณีการเสียชีวิตของ น้องชมพู่ เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ที่เสียชีวิตและพบเป็นศพที่ภูเหล็กไฟ บ้านกกกอก อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ซึ่งผ่านมาเป็นเวลาเกือบ 2 เดือนแล้ว ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค. 63 แต่ก็ยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ต้องหา แต่ต่อมาก็มีกระแสข่าวมาว่า ตำรวจกำลังจะออกหมายจับผู้ต้องหาฆ่าน้องชมพู่
ล่าสุดวันที่ 8 ก.ค. เวลา 15.00 น. พล.ต.ต.อรรคพงศ์ พิมลศิริ ผบก.ภ.จ.มุกดาหาร ได้เผยถึงคดีดังกล่าวว่า คดีของน้องชมพู่ในตอนนี้ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่า คดีมีความคืบหน้าไปกี่เปอร์เซ็นต์ เพราะกลัวเสียรูปคดี แต่ในขณะนี้พูดได้ว่า ยังไม่มีการออกหมายจับผู้ต้องหาคนใดทั้งสิ้น และคาดว่าในวันศุกร์ที่ 10 ก.ค.63 จะเปิดแถลงข่าวให้ผู้สื่อข่าวทราบความก้าวหน้าของคดี จากนั้นทุกๆ 5 วัน หรือ 7 วัน จะแจ้งข่าวสารใหม่ๆ ของคดีของน้องชมพู่ให้ผู้สื่อข่าวได้ทราบความคืบหน้าของคดี
จากกรณีที่กองปราบฯ จับกุม น.ส.นิษฐา หรือปุ๊ก วงวาล อายุ 29 ปี หลังรับ ด.ช.วัย 3 ขวบมาดูแลและอ้างว่าป่วยเป็นโรคประหลาด ต่อมาจึงโพสต์ขายของ และประกาศขอรับเงินบริจาค เพื่อนำไปรักษาเด็ก จนได้เงินไปมากกว่า 10 ล้านบาท ทางแพทย์โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติรับตัวเด็กไปรักษา และพบสารเคมีส่วนผสมน้ำยาล้างห้องน้ำในตัวเด็ก
นอกจากนี้ยังพบว่าแม่ปุ๊กเคยเปลี่ยนชื่อมาแล้ว 4 ครั้ง และยังเคยรับเด็กหญิง อมยิ้ม อายุ 4 ขวบมาดูแลแต่ป่วยด้วยอาการประหลาดคล้ายกัน จนเสียชีวิตเมื่อเดือน ธ.ค.62 ต่อมาเจ้าตัวรับสารภาพเรื่องฉ้อโกง แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนทำให้เด็กเสียชีวิต และบอกว่าเด็กที่ป่วยเป็นลูกแท้ๆ และผลตรวจก็ออกมาแล้วว่าน้องอิ่มบุญเป็นลูกแม่ปุ๊กจริง
แต่เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ผู้สื่อข่าวได้เดินทาง ไปที่บ้านของ แม่เอม ซึ่งเป็นแม่แท้ๆ ของน้องอมยิ้ม ที่จังหวัดพิจิตร แต่ไม่พบตัว ทั้งพ่อและแม่ก็ออกไปทำงาน พบเพียงญาติจึงได้สอบถามข้อมูลพบว่า นางสาวเอมอัชนา มีลูกชายคนเดียว อายุ 5 ขวบ ที่ฝากให้ตากับยาย ที่เลี้ยงอยู่ในบ้านตำบลบางคลาน อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร นานๆ จะกลับมาที่บ้าน ยืนยันว่าไม่มีเด็กอื่นเพิ่ม
ทางด้าน นางประกอบ พรธาดาวิทย์ กำนันตำบลบางคลาน อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร กล่าวว่า แม่เอมมีนิสัยดี มีจิตใจดี โดยทราบข่าวว่าแม่เอมได้เข้าเรียนต่อทางการแพทย์ที่กรุงเทพมหานคร พ่อและแม่ทำงาน ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง มีฐานะพอกินพอใช้ และจากการตรวจสอบในหมู่บ้าน พบว่านางสาวเอมอัชนา มีบุตรชายคนเดียว และไม่เคยเห็น ว่าครอบครัวนี้ มีเด็กเพิ่ม
นาย ปดิพัทธ์ ยังกล่าวด้วยว่า สำหรับกรณีที่เจ้าหน้าที่รับแจ้งความจากนายเเพทย์วรงค์ ทั้งที่รู้ว่าเป็นข้อมูลเท็จ พรรคก้าวไกลก็จะพิจารณาเช่นกันว่าจะดำเนินคดีอย่างไรต่อ ในคดีที่เจ้าหน้าที่รัฐประพฤติมิชอบต่อพรรคการเมืองเเละประชาชน อาจเป็นการเอาผิดตามมาตรา 200 หรือ 157 ที่กำหนดให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถดำเนินคดีต่อพี่น้องประชาชนในเหตุที่เกินควรได้
แนะนำ : รีวิวหนังไทย | คู่มือพ่อแม่มือใหม่ | แม่และเด็ก | เรื่องผี | แคคตัส กระบองเพชร